นาฬิกาบอกนิสัยคนใส่
วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552
นาฬิกาบอกนิสัยคนใส่
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552
happy

10วิธีผ่อนคลายความเครียด
1. ลดหรือเลิกบริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ โค้ก หรือ ช็อคโกแลต ถ้าคุณทำได้ผลที่ตามมาก็คือความผ่อนคลายทำให้นอนหลับได้ดีขึ้น มีความกระฉับกระเฉงในการทำงาน และกล้ามเนื้อจะไม่อ่อนล้า
2. บริโภคอาหารให้ถูกสุขลักษณะ พยามยามยกเว้นบริโภคอาหารที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (JUNK FOOD)
3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยที่สุดคุณควรออกกำลังกาย 3 ครั้ง ต่อ 1 อาทิตย์ โดยใช้เวลา 30 นาทีต่อครั้งเป็นอย่างต่ำ การออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมได้แก่ การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ เล่นเทนนิส หรือ แบตมินตัน
4. นอนให้เพียงพอ เมื่อคุณพักผ่อนไม่เพียงพอจะทำให้มีโอกาสเกิดความเครียดได้สูง ถ้าคุณกำลังเผชิญอยู่กับความเครียด ลองใช้วิธีดังต่อไปนี้ เข้านอนเร็วกว่าปกติ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง หลังจากนั้นถ้าคุณยังรู้สึกอ่อนเพลียให้คุณเข้านอนเร็วกว่าเดิมอีก 30 นาที จากนั้นคุณจะค้นพบเวลานอนที่เหมาะสมกับตัวคุณเองที่จะทำให้คุณไม่อ่อนเพลีย 3 สิ่งที่บ่งบอกว่าคุณนอนหลับเพียงพอ คือ รู้สึกสดชื่นเวลาตื่นนอน รู้สึกกระฉับกระเฉงตลอดวันคุณจะตื่นนอนขึ้นเองในตอนเช้าโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก
5. รู้จักฝึกฝนตนเองให้ผ่อนคลายอยู่เสมอเมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น คุณควรปฏิบัติดังนี้ หาเวลาเดินเล่นหรือนั่งเล่นในสวน ใช้เวลาเล่นกับสัตว์เลี้ยงภายในบ้าน หรือการนอนหลับฯลฯ และยังมีกิจกรรมที่ยังต้องอาศัยทักษะเฉพาะด้านที่คุณสามารถเรียนรู้ได้ เช่น การนั่งสมาธิ
6. จริง ๆ แล้ว หนึ่งในวิธีที่จะผ่อนคลายความเครียดได้ดีที่สุดคือ การงดเว้นการทำกิจกรรมต่าง ๆ
7. ไม่ควรตั้งความหวังให้สูงเกินไป คนส่วนใหญ่เกิดความเครียดเนื่องจากการไม่สมหวังฉะนั้น คุณไม่ควรตั้งความหวังไว้สูง ควรตั้งความหวังให้ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
8. มองโลกในแง่ดี และเปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นเรื่องท้าทาย
9. เมื่อเกิดความเครียดพยายามหาที่ปรึกษาพูดคุยที่คุณไว้ใจได้
10. อารมณ์ขันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบำบัดความเครียด
แค่นี้ก็ Happy Happy มีความสุขแล้ว
วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
กลอนวันครู
กลอนวันแม่

อุ่นใดเล่าอุ่นนักอุ่นรักเจ้า อุ่นที่เฝ้าดูแลและถนอม
อุ่นสายใยผูกพันทุกวันยอม อุ่นในอ้อมกอดรักฟูมฟักรอ
หญิงที่ใครเรียกว่า "แม่"
แม้นดวงแก้ว / สกาวใส / ในแดนสรวง
ประพันธ์โดย ชัยทัต เศรษฐพงศ์
วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
แนะนำคณะ 2
แนะนำคณะพยาบาลศาสตร์ มมส.


คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ประวัติความเป็นมา
มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีแผนเปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 8 เดิมกำหนดเปิดสอนในปีพ.ศ. 2544 แต่เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะผลิตบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ ซึ่งเป็นสาขาที่ขาดแคลน โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปัญหาขาดแคลน พยาบาลอย่างชัดเจน กล่าวคือ พยาบาลต่อประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอัตราส่วน 1 : 3,653 ในขณะที่ภาคกลาง ภาคเหนือและภาคใต้ มีอัตราส่วน 1 : 1,296 - 1 : 1,775 (สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, 2535) และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สังกัดทบวง มหาวิทยาลัยและสภากาชาดไทยให้เร่งรัดการเพิ่มผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล ตั้งแต่ปีการศึกษา 2536 - 2542 ซึ่งคาดว่าในปี พ.ศ. 2544 จะมีอัตราส่วน พยาบาลต่อประชากรดีขึ้น แต่ยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ สภาพการผลิตพยาบาลในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 7 สามารถเพิ่มการผลิต ได้เพียงร้อยละ 14.5 เท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าความต้องการบุคลากรพยาบาลเป็นอย่างมาก (กองแผนงาน สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, 2535) ในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากร จำนวน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ แต่มีสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ผลิตบัณฑิต ทางการพยาบาลเพียงสถาบันเดียว คือมหาวิทยาลัยขอนแก่น

ดังนั้นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของมหาวิทยาลัยภูมิภาค ที่จะช่วยตอบสนองนโยบายของรัฐในการผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาสุขภาพของประชาชน ตลอดจนความเสมอภาคของประชาชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการได้รับการบริการ สุขภาพ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป ดังนั้น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงได้ขอปรับแผนพัฒนา การศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 8 เปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ จากปี พ.ศ. 2544 เป็น ปี พ.ศ. 2540 และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ 1286/2538 ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538 มี รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการมีหน้าที่ 1) วางแผน และกำหนดทิศทางในการเปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ และจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ 2) จัดทำหลักสูตร 3) ดำเนินการ ในเรื่องต่างที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเปิดสอน และจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เกิดหน่วยงาน ชื่อโครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ขึ้น เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหาสารคามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ในการดำเนินการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ดังนี้ อนุกรรมการฝ่ายจัดทำหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต อนุกรรมการฝ่ายวางแผนการศึกษาภาคปฏิบัติ และอนุกรรมการฝ่ายจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเองทางการพยาบาล ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ 314 / 2539 เรื่องแต่งตั้งอนุกรรมการ ลงวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2539 อนุกรรมการฝ่ายจัดทำหลักสูตรพยาบาล ศาสตร์บัณฑิต ได้ยกร่างหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต และดำเนินการตามขั้นตอน กล่าวคือผ่านการพิจารณาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการ วิชาการมหาวิทยาลัย คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย และผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2539 และทบวง มหาวิทยาลัยรับทราบและให้ความเห็นชอบหลักสูตรเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้มีการปรับปรุงข้อบังคับมหาวิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี พ.ศ. 2540 จึงได้มีการปรับปรุงหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต ในปี พ.ศ. 2541 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับ ของมหาวิทยาลัย คือมีจำนวนหน่วยกิตรวมไม่เกิน 140 หน่วยกิต ซึ่งหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2541) ได้ผ่านความเห็นชอบ ของสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2541 และทบวงมหาวิทยาลัยรับทราบ และให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2542 และคณะกรรมการข้าราชการและพลเรือนรับรองและรับทราบคุณวุฒิผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต (ฉบับปรับปรุงปี พ.ศ. 2541) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 โครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต รุ่นแรกรับนิสิต จำนวน 33 คน เมื่อปีการศึกษา 2540 ต่อมาในภาคปลาย ปีการศึกษา 2542 ได้เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตร์บัณฑิต (ต่อเนื่อง) โดยรับ นิสิต จำนวน 57 คน หลักสูตรนี้ผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2542 และผ่านความเห็นชอบจากทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2543
เนื่องจากประเทศประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2540 รัฐบาลจึงมีนโยบายไม่ให้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ แต่สามารถจัดตั้งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสภามหาวิทยาลัยได้ ดังนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14(2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย มหาสารคาม ปี พ.ศ. 2538 สภามหาวิทยาลัยมหาสารคามจึงร่างระเบียบว่าด้วยคณะพยาบาลศาสตร์ ปี พ.ศ. 2541 ทำให้มีการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ ขึ้นในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นหน่วยงานจัดการศึกษาทำนองเดียวกับคณะดำเนินงานในรูปแบบการบริหารในลักษณะ นอกระบบราชการ ที่เน้นความคล่องตัว มีประสิทธิภาพและพึ่งตนเองให้มากที่สุด โดยมีสภามหาวิทยาลัยกำกับดูแลทำให้โครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ เปลี่ยนฐานะ มาเป็นคณะพยาบาลศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ เป็นรักษาการคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ จนถึงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2542 และรองศาสตราจารย์วลัยพร นันท์ศุภวัฒน์ ดำรงตำแหน่งรักษาการคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ต่อมาจนถึง วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ ได้ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ จนถึง พ.ศ.2551 ปัจจุบันมีรองศาสตราจารย์วลัยพร นันท์ศุภวัฒน์ ดำรงตำแหน่งคณะบดี คณะพยาบาลศาสตร์
วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2552
กลไกการคลอด : การผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง
การคลอดปกติ (Normal labor or eutocia)
1. ผู้คลอดตั้งครรภ์ครบกำหนด (Full term of pregnancy) คือ มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 38 สัปดาห์ขึ้นไป จนถึง 42 สัปดาห์ (40 + 2 หรือ 40 - 2 สัปดาห์) ในกรณีที่การคลอดนั้นเกิดขึ้นเมื่อมีอายุครรภ์น้อยกว่า 38 สัปดาห์ ถือว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนด (premature or preterm labor) บางสถาบันจะถือว่าเป็นการคลอดก่อนกำหนดเมื่อผู้คลอดมีอายุครรภ์น้อยกว่า 37 สัปดาห์ ผู้คลอดที่มีอายุครรภ์ถึง 37 สัปดาห์ แต่ไม่ถึง 38 สัปดาห์ นั้นจัดอยู่ในภาวะเกือบจะเป็นการคลอดก่อนกำหนด (Borderline premature labor) ส่วนผู้คลอดที่อายุครรภ์เกินกว่า 42 สัปดาห์ ขึ้นไปถือว่า เป็นการคลอดเกินกำหนด (Posttmature or postterm labor)
2. ส่วนนำของทารกเป็นศีรษะ มีลักษณะคว่ำหน้า ศีรษะก้ม คางชิดอก กล่าวคือ มีส่วนนำเป็นยอดศีรษะ (Vertex presentation) ขณะที่ศีรษะคลอดออกมาท้ายทอยต้องอยู่ทางด้านหน้าของเชิงกราน (Anterior presentation) หรืออยู่ใต้กระดูกหัวเหน่า ในกรณีที่ศีรษะทารกก้มไม่มากนัก คือส่วนนำเป็นขม่อมหน้า (Bregma presentation) หรือท้ายทอยของทารกอยู่ทางด้านข้างหรือด้านหลังของเชิงกราน (Transverse or posterior occiput position) เมื่อการคลอดดำเนินต่อไปแล้ว ศีรษะทารกสามารถก้มได้เต็มที่จนใช้ยอดศีรษะเป็นส่วนนำ และการหมุนจนท้ายทอยมาอยู่ด้านหน้าของเชิงกรานได้เอง แล้วคลอดออกมาในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการคลอดปกติได้เช่นกัน การคลอดผิดปกติเนื่องจากมีคุณลักษณะไม่ตรงตามนี้นั้นมีหลายประเภท เช่น ส่วนนำเป็นก้น (Breech presentation) ส่วนนำเป็นหน้า (Face presentation) ทารกอยู่แนวขวาง (Transverse lie) ท้ายทอยคงอยู่หลัง (Occiput posterior persistence) ท้ายทอยคงอยู่ข้าง (Deep transverse arrest of head) เป็นต้น
3. เป็นการคลอดทางช่องคลอด (Vaginal delivery) ในกรณีที่ผ่าตัดเอาทารกออกทางหน้าท้อง (cesarean section) ถือว่าเป็นการคลอดผิดปกติ ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดเอาทารกออกทางหน้าท้องนั้นมีมากมาย ตัวอย่างเช่น ศีรษะทารกและช่องเชิงกรานไม่ได้สัดส่วนกัน (Cephalopelvic disproportion) ทารกอยู่ในแนวขวาง เป็นต้น
4.ใช้เวลาในการคลอดเหมาะสม คือไม่นานจนเกินไปและไม่เร็วจนเกินไป เดิมยึดถือกันว่าระยะเวลาในการคลอด (Duration of labor) หรือ ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเจ็บครรภ์จริงจนกระทั่งรกคลอดออกมาครบนั้น ต้องไม่เกินกว่า 24 ชั่วโมง ในปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เจริญก้าวหน้าขึ้น เกณฑ์ที่กำหนดระยะเวลาการคลอดปกติจึงลดลงไปกว่าเดิมซึ่งแตกต่างกันในบาง สถาบัน เช่น 20 ชั่วโมง 18 ชั่วโมง ในสถาบันที่ใช้นโยบายการเร่งคลอด (Active management of labor) จะใช้เกณฑ์เพียง 12 ชั่วโมงเท่านั้น ถ้าระยะเวลาคลอดนานเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ถือว่าเป็นการคลอดยาวนาน (Prolonged labor) ในกรณีที่ช่วงระยะใดระยะหนึ่งของการคลอดยาวนานเกินกว่าปกติ ถือว่าเป็นการคลอดยาวนานเช่นกัน เช่น ตั้งแต่เริ่มเจ็บครรภ์จริง การคลอดดำเนินไปตามปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ระยะที่สองของการคลอดหรือ ระยะเบ่งคลอด พบว่าระยะเวลายาวนานเกินปกติ แสดงว่าระยะที่สองของการคลอดยาวนาน (Prolonged second of labor) การคลอดที่เกิดขึ้นเร็วเกินไป ถือว่าเป็นการคลอดผิดปกติเช่นกัน ซึ่งเรียกว่า การคลอดเร็วเฉียบพลัน (Precipitate labor) กล่าวคือ มีระยะเวลาการคลอดน้อยกว่า 3 ชั่วโมง
5. ขบวนการคลอดทั้งหมดดำเนินไปได้เองตามธรรมชาติ (Spontaneous labor) ไม่ต้องใช้วิธีทางสูติศาสตร์หัตถการในการช่วยคลอด (Operative obstetric delivery) เช่น การใช้คีม (Forceps extraction) การใช้เครื่องดูดสุญญากาศ (vacuum extraction) เป็นต้น
6. ไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ เกิดขึ้นในระยะคลอด นับตั้งแต่ระยะเจ็บครรภ์คลอดจนกระทั่งทารกและรกคลอดออกมา ภาวะแทรกซ้อนในระยะคลอด (Intrapartal complication) ที่พบได้ เช่น การตกเลือดในระยะคลอด (Intrapartal hemorrhage) เนื่องจากมดลูกแตกหรือมดลูกหดรัดตัวไม่ดีในระยะรกคลอดหรือหลังคลอด การมีรกค้าง การเกิดมดลูกปลิ้น เป็นต้น
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552
แนะนำตัว
E-mail kaewdee.si@gmail.com
kaewdee.si@hotmail.com
สีที่ชอบ ฟ้า เขียว เหลือง
อาหารที่ชอบ ส้มตำ ไก่ย่าง
คติประจำใจ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น
เวลาว่าง ชอบอ่านหนังสือ วาดภาพ
ครอบครัว เป็นครอบครัวเดี่ยว มีสมาชิกทั้งหมด 3 คน คือ พ่อ แม่ และตัวเอง
สมาชิกในครอบครัวรักใคร่กันดี
การศึกษา ป.ตรี พยาบาล มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ปัจจุบันทำงานที่ ห้องคลอด โรงพยาบาลมุกดาหาร